วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การขยายพันธุ์ไผ่ตงลืมแล้งโดยการตอนกิ่งแบบง่ายๆ

“ไผ่ตงลืมแล้ง” บางท่านอาจจะนึกภาพไม่ออกว่ามีลักษณะอย่างไร สำหรับไผ่ตงลืมแล้งขณะนี้กำลังได้รับความนิยมจากเกษตรกรที่นำมาปลูกเนื่องจากเป็นพืชตระกูลไผ่ที่มีการออกหน่อตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นหน้าแล้งก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไผ่ตงลืมแล้งเป็นที่นิยมของเกษตรกรที่ทำการปลูกไผ่อยู่ตอนนี้ และไผ่ตงลืมแล้งนั้น เป็นไผ่ที่ได้นำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย ไผ่ตงลืมแล้ง ต้นสูงได้กว่า 20 เมตร ลำต้นตรง เป็นข้อหรือปล้อง ขนาดของลำต้นใหญ่ เนื้อไม้หนา ยอดอ่อน หรือ หน่ออ่อนมีเปลือกหุ้มสีเขียว ไม่มีขน หน่อที่โผล่เหนือดินเรียกว่า “หน่อไม้ไผ่ตง” เนื้อในรสชาติหวานกรอบอร่อยมาก ขนาดของหน่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 5-7 กิโลกรัมต่อหัว มีหน่ออ่อนตลอดทั้งปี ไผ่ตงลืมแล้งจะมีลักษณะเด่น คือ ทนแล้ง น้ำท่วมยังไงก็ไม่ตาย ไม่มีหนามไม่มีขน ออกหน่อตลอดทั้งปี กินน้ำน้อยมาก ที่สำคัญไผ่ตงลืมแล้งจะชอบอากาศร้อนชื้น จะเป็นไผ่ที่ไม่ผลัดใบ ใบไผ่จะเขียวตลอด และหน่อไม้หรือหน่ออ่อนของไผ่ตงลืมแล้งจะมีหน่อยาวใหญ่ มีสีทอง รสชาดดี กรอบ กินดิบได้ เนื้อแน่นละเอียด เวลานำไปแกงหรือต้มก็ไม่ต้องต้มน้ำทิ้งก็ได้ ลักษณะพิเศษของไผ่ตงลืมแล้งอีกอย่างหนึ่งคือ กอของไผ่ตงจะไม่ลอยเหมือนกับไผ่พันธุ์อื่นๆ เวลาออกหน่อจะช้อนลงดินก่อนแล้วค่อนโผล่ขึ้นมา จะออกเป็นหน่อแฝดหรือออกหน่อคู่ และถ้ามีน้ำช่วยหน่อยหน่อไม้ที่ออกมาจะไม่ขม

เกษตรกรจังหวัดลพบุรีปลูกไผ่ตงลืมแล้งที่ประสบความสำเร็จจากการปลูกไผ่ตงลืมแล้ง คุณทองสุข เหมหอมวงษ์ นั้นเองเกษตรกรจังหวัดลพบุรีปลูกไผ่ตงลืมแล้งที่ประสบความสำเร็จจากการปลูกไผ่ตงลืมแล้ง คุณทองสุข เหมหอมวงษ์ นั้นเอง

               นายทองสุข  เหมหอมวงษ์ เกษตรกรตำบลโคกตูม  อำเภอเมือง  จังหวัดลพบุรี และมีความเชี่ยวชาญทางด้านการปลูกไผ่ตงลืมแล้งเจ้าแรกของภาคกลางและสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ 
              นายทองสุข กล่าวว่า  เดิมเป็นคนจังหวัดลพบุรี  เมื่อก่อนก็ทำไร่เหมือนคนอื่นๆในแถบนี้ แล้วก็หันมาขับรถรับจ้างทั่วไปพอเก็บเงินได้สักพักช่วงนั้นเศรษฐกิจกำลังดีเลยลงทุนทำร้านขายรถมือสอง  ขายได้ดีและรายได้ก็ดี  แต่พอปี 2540เศรษฐกิจตกต่ำขาดทุนกับการขายรถมือสองไปเยอะแต่ยังเหลือทุนพอประมาน  จึงหันมาทำการเกษตรที่ตนเองคิดว่าถนัดเลยไปซื้อโคขุนมาเลี้ยงจำนวน 50ตัว  ที่เลี้ยงโคขุนเพราะคำแนะนำของเพื่อน พอเลี้ยงไปได้ 6เดือน ก็ขาดทุนอีกครั้ง  จึงได้คิดหาทางออกหลายทาง แต่แล้วก็ทนพิษเศรษฐกิจไม่ไหวจึงได้ปรึกษากับภรรยา  ทางภรรยาก็ให้กำลังใจและให้ตนหยุดพักเสียก่อน  ระหว่างที่หยุดพักนั้นก็ได้มีโอกาสหันมาทำการเกษตรในบริเวณบ้าน  แล้วไปสะดุดเห็นไผ่ตงลืมแล้งที่ได้ซื้อมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านจำนวน 5กิ่ง ครั้งที่ได้ซื้อมานั้นราคากิ่งละ 200บาท ตอนที่ได้ซื้อคนขายแนะนำว่าเป็นไผ่ที่มาจากอินโดนีเซียไม่ค่อยมีคนรู้จัก  จึงได้เอามาปลูกไว้ช่วงที่เลี้ยงโคขุนไปด้วยนั้นเอง  พอมาวันหนึ่งนั่งพักแล้วหันไปมองต้นไผ่เห็นว่าต้นไผ่นี้ทำไมช่วงแล้งๆก็มีหน่อไม้ออกมาทั้งๆที่น้ำก็ไม่มี  จึงได้ลองเอามาปลูก  และขยายพันธุ์จนสำเร็จและมีคนสนใจในที่สุด  นี่คือที่มาของการปลูกไผ่ตงลืมแล้งนั้นเอง

                      พื้นที่การปลูกไผ่ตงลืมแล้งของคุณทองสุขนั้นมีทั้งหมด 13ไร่  โดยได้แบ่งเป็นพื้นที่ 2ที่คือ  บริเวณหลังบ้านจำนวน 2ไร่  และอีกพื้นที่หนึ่งพื้นที่ทั้งหมด 11ไร่  ความยาว 500เมตร  ปลูกไผ่ตงลืมแล้งไว้ทั้งหมด 1,176กอ  โดยปลูกด้วยมือตนเองทุกกอ การปลูกและขยายพันธุ์ไผ่ตงลืมแล้งอย่างจริงจังใช้เวลาผ่านมาแล้ว 3ปี และได้รายได้จากไผ่ตงลืมแล้งนี้กว่าล้านบาท
                    นายทองสุข แนะนำว่า ไผ่ตงลืมแล้งจะมีหน่อออกตลอดทั้ง 365วัน  รับรองว่าใครที่ปลูกไผ่ตงลืมแล้งไว้อยากกินหน่อไม้เมื่อไรก็สามารถเดินไปหลังบ้านแล้วตัดหน่อไม้กินเองได้ หน่อไม้หรือหน่ออ่อนของไผ่ตงลืมแล้งนั้นมีน้ำหนักประมาณ 2กิโลกรัมขึ้นไป  รสชาติดีไม่ขม  เนื้ออ่อน  เห็นหน่อไม้ลำใหญ่ๆแบบนั้นกินได้ตั้งแต่โคนถึงยอดเลย  แล้วที่สำคัญหน่อไม่ไผ่ตงลืมแล้งไม่มีพิษหรือสารเคมีสามารถตัดหน่ออ่อนออกมาก็สามารถชิมได้เลย

การขยายพันธุ์ไผ่ตงลืมแล้งโดยใช้กิ่งแขนงปักชำ
                   กิ่งแขนงของไผ่ก็คือ กิ่งที่แยกออกจากลำต้นไผ่ตรงบริเวณข้อ ซึ่งโคนกิ่งแขนงจะมีรากงอกเห็นได้ การใช้กิ่งแขนงขยายพันธุ์เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมเพราะสะดวกและง่าย
การคัดเลือกกิ่งแขนงเพื่อทำการปักชำ มีวิธีการคัดเลือกดังนี้
      1.ให้เลือกกิ่งแขนงที่มีขนาดใหญ่พอสมควร โดยเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1นิ้วขึ้นไป
      2.กิ่งแขนงไผ่ที่เลือกนั้นให้สังเกตุที่รากของกิ่ง  ให้เลือกรากของกิ่งแขนงที่มีสีน้ำตาลหรือน้ำตาลอมเหลืองและมีรากฝอยแตกจากรากแขนงแล้ว
      3.ให้เลือกกิ่งแขนงที่มีอายุ 4-6เดือน ถ้าเป็นกิ่งค้างปียิ่งดี
ขั้นตอนในการปักชำกิ่งแขนงของไผ่ตงลืมแล้ง
วัสดุ-อุปกรณ์
1.แกลบดำ
2.ถุงเพาะชำ  ขนาด 4x6  จำนวนตามที่ต้องการปักชำกิ่ง
3.กะละมังใส่น้ำไว้แช่กิ่งแขนงไผ่
4.มีด
ขั้นตอนและวิธีการปักชำ
1.เมื่อได้คัดเลือกกิ่งแขนงแล้ว ทำการตัดแยกกิ่งแขนงออกจากลำไผ่ จากนั้นตัดปลายกิ่งออกให้เหลือยาว 80-100เซนติเมตร
2.เตรียมถุงเพาะชำ  โดยใส่แกลบดำให้เต็มถุงปักชำ นำมาเรียงเป็นแถวเพื่อให้สะดวกต่อการปัก
3.นำกิ่งแขนงที่ได้ตัดมานั้น ปักชำลงในถุงเพาะชำที่ได้เตรียมไว้ กดแกลบให้แน่นพอสมควรแล้วรดน้ำ  จากนั้นนำไปวางไว้ใต้ร่มไม้หรือใต้ร่มไผ่ก็ได้ หมั่นดูแลรดน้ำทุกวันหรือวันเว้นวัน
4.หลังจากปักชำแล้วประมาณ 2-3 เดือน กิ่งแขนงที่ชำไว้จะแตกแขนงใบและราก ตั้งตัวได้และมีความแข็งแรง พร้อมที่จะย้ายลงปลูกได้
อ้างอิง  http://www.rakbankerd.com/

โรคนกกระทาและการป้องกันรักษา

 
 วิธีป้องกันรัษาโรคต่างๆ ก็คล้ายคลึงกับไก่และเป็ด ซึ่งต้องอาศัยหลักและวิธีการปฎิบัติต่างๆ ทั้งการระวังไม่ให้เชื้อแพร่เข้ามา และต้องมีการรักษาสุขภาพอนามัยตลอดการ วิธีการเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการป้องกันเชื้อโรค สำหรับนกที่มาจากภายนอกฟาร์มควรกักไว้ต่างหากสักระยะหนึ่งก่อนที่จะเข้ามารวมกับนกในฝูง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นการนำโรคจากภายนอกเข้ามาในฝูง

วันไหว้พระจันทร์

วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เป็นวันไหว้พระจันทร์ของชาวจีน
          ภาษาจีนเรียกวันไหว้พระจันทร์ว่า" จงชิว " ที่มาของคำว่าจงชิวนี้คือ เดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติตกอยู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง (เดือนเจ็ดและเดือนแปดอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง หนึ่งฤดูแบ่งเป็น เมิ่ง จ้ง จี้ ) ดังนั้นก็เลยเรียกว่า " จ้งชิว " ประกอบกับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปดก็ตกอยู่ในช่วงกลางของเวลาที่เรียกว่าจ้งชิวนี้ จึงเรียกเทศกาลดังกล่าวว่า" จงชิว " ด้วย
          ในคืนวันไหว้พระจันทร์ ดวงจันทร์สว่างและกลม ถือว่าสวยที่สุด ผู้คนถือว่าดวงจันทร์ที่กลมเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความสามัคคี ดังนั้นจึงเรียกเทศกาลนี้ว่า " เทศกาลแห่งความกลมเกลียว "
          เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลดี เป็นเทศกาลที่มีความเกี่ยวข้องกับตำนาน เรื่องดวงจันทร์ของชาวจีนอย่างแนบแน่น เช่นเรื่อง " ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ " ถือว่าเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงมาก

          วันไหว้พระจันทร์ เป็นการไหว้ครั้งที่ 6 ของปี เรียกการไหว้ครั้งนี้ว่า "ตงชิวโจ่ย" การไหว้พระจันทร์ของคนจีน เป็นที่รู้จักกันดีกว่าเทศกาลไหว้อื่นๆ เพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เป็นการไหว้เจ้าแม่กวนอิม และมีของไหว้ที่เป็นแบบเฉพาะ เช่นมีขนมไหว้พระจันทร์ มีต้นอ้อย โคมไฟ เทศกาลนี้เป็นอุบายในการปลดแอกชาติจีน ออกจากการปกครองของพวกมองโกล
          วันไหว้พระจันทร์ ถือเป็นวันสารท เพราะตรงกับวันกลางเดือน คือวันที่ 15 ถ้าเป็นตรุษจะเป็นวันที่ 1 ของเดือน ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 ของจีน และถือเป็นวันกลางเดือนของเดือน กลางฤดูใบไม้ร่วง ด้วยว่าประเทศจีนนั้นแบ่งวันเวลา เป็น 4 ฤดูกาล ฤดูหนึ่งมี 3 ดวง คือ ชุง แห่ ชิว ตัง คือฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ตามมลำดับ
 
ตำนานวันไหว้พระจันทร์
          ขนมที่ทำมาเป็นพิเศษในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ก็คือ ขนมเปี๊ยก้อนใหญ่พิเศษ ไส้หนา มีขนมโก๋สีขาว ขนมโก๋สอดไส้ ขนมโก๋สีเหล์อง เมื่อไหว้เสร็จก็แบ่งกันรับประทานในครอบครัว
เรื่อง " ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ " ปรากฎเป็นครั้งแรกในยุคต้นของสมัยจั้นกว๋อ ( สมัยสงครามระหว่างรัฐ ) เล่าเรื่องราวของฉังเอ๋อที่ได้กินยาอายุวัฒนะของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ แล้วไปเป็นเทวีแห่งดวงจันทร์ เมื่อถึงสมัยราชวงศ์สุยและถัง เนื่องจากผู้คนในสมัยนั้นมีความนิยมที่จะชื่นชมดวงจันทร์ว่าสวยและดูน่ารักใคร่ ดังนั้นทัศนะที่มีต่อฉังเอ๋อผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนดวงจันทร์ว่าเป็นผู้ที่อ่อนหวาน สวยงาม ฉลาด มีจิตใจดีงาม มีความสามารถในการร้องรำ เป็นต้น มีตำนานอีกเรื่องที่เล่าถึงเทวีแห่งดวงจันทร์ว่า สมัยโบราณนานมาแล้ว โลกเรานี้มิได้มีดวงอาทิตย์เพียงแค่ดวงเดียวเท่านั้น แต่มีถึงสิบดวง นำมาซึ่งภัยพิบัติแต่โลกมนุษย์ ทำให้โลกร้อนระบุเป็นเพลิง ส่วนที่เป็นน้ำก็เหือดแห้งไป ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก ต้นไม้ใบหญ้าแห้งกรอบ ผู้คนไม่มีที่จะไปหลบซ่อนอาศัย ในช่วงนี้เองได้ปรากฎวีรบุรุษคนหนึ่งชื่อ" โฮ่วอี้ " เป็นผู้ที่มีฝีมือในการยิงธนูได้อย่างมหัศจรรย์มาก เขาได้ยิงธนูขึ้นสู่ฟ้า เพียงดอกเดียวก็ยิงถูกดวงอาทิตย์ตกลงมาถึงเก้าดวง เหลืออยู่เพียงแค่ดวงเดียว ถือเป็นการขจัดทุกเข็ญให้กับบรรดาประชาชน ผู้คนจึงพากันยกย่องให้เขาเป็นกษัตริย์ แต่ทว่า พอเขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เขาก็ลุ่มหลงในสุราและนารี ฆ่าฟันผู้คนตามอำเภอใจ กลายเป็นทรราช ราษฎรล้วนแต่โกรธแค้นและชิงชังเขาเป็นที่สุด โฮ่วอี้รู้ตัวว่าตัวเองคงจะอยู่เป็นสุขเช่นนี้ไปได้อีกไม่นาน จึงเดินทางไปที่ภูเขาคุนหลุน ( คุนลุ้น ) เพื่อขอยาอายุวัฒนะจากเจ้าแม่หวังหมู่มากิน แต่ฉังเอ๋อ ภรรยาของเขากลัวว่าถ้าสามีของเธอมีอายุยืนนานโดยไม่มีวันตายเช่นนี้ ก็จะเข่นฆ่าราษฎรต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจกินยาอายุวัฒนะนั้นเสียเอง แต่พอกินเข้าไป ในฉับพลันทันใด ร่างของเธอก็เบาแล้วก็ลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ ยังมีนิทานอีกเรื่องเล่าว่า ศิษย์ของโฮ่วอี้ชื่อ" เฝิงเหมิ่ง " อิจฉาฝีมือการยิงธนูของโฮ่วอี้มาก คอยคิดแต่จะสังหารโฮ่วอี้ อยู่มาวันหนึ่ง เฝิงเหมิ่งถือโอกาสตอนที่โฮ่วอี้ออกไปล่าสัตว์บังคับให้ฉังเอ๋อ ภรรยาของโฮ่วอี้มอบยาอายุวัฒนะให้แก่ตนเอง แต่ฉังเอ๋อไม่ยอม โดยกินยาอายุวัฒนะที่มีอยู่ทั้งหมดลงท้องไป ผลก็คือ ร่างของเธอเบา และลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ในที่สุด นับแต่นั้นมา บนดวงจันทร์ก็ปรากฎนางฟ้าผู้งดงามและจิตใจดีเช่นฉังเอ๋อนี้

          เนื่องจากตำนานเรื่องต่างๆที่เล่าขานเกี่ยวกับดวงจันทร์ทั้งหลายนี้ ดังนั้นนับแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา ผู้คนก็จะมีประเพณีการชมและบูชาดวงจันทร์ จักรพรรดิถือความนิยมในการบูชาพระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ และบูชาพระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง พวกราษฎรก็มีประเพณีการบูชาพระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงด้วยเช่นกัน ในการบูชาพระจันทร์นั้น ตามปกติพิธีจะเริ่มหลังจากที่ดวงจันทร์ขึ้นแล้ว บางท้องที่สิ่งที่นำมาบูชาดวงจันทร์ได้แก่ขนมไหว้พระจันทร์ ผลไม้ ถั่ว ดอกหงอนไก่ หัวไชเท้า รากบัว เป็นต้น ในขณะที่ทำการบูชาดวงจันทร์นั้น เนื่องจากดวงจันทร์อยู่ธาตุหยิน ก็มักจะให้ผู้หญิงไหว้ก่อน แล้วถึงให้ผู้ชายไหว้ และก็ยังถึงกับมีความนิยมที่ว่าผู้ชายจะไม่ไหว้พระจันทร์อีกด้วย หลังจากไหว้พระจันทร์เสร็จแล้ว คนในครอบครัวก็จะร่วมกันดื่มสุราแห่งความกลมเกลียว และกินข้าวชมจันทร์ วันนี้ผู้หญิงที่กลับบ้านแม่ไปเยี่ยมญาติก็ยังต้องกลับบ้านมาเพื่อความกลมเกลียว
          ในฐานะที่ขนมไหว้พระจันทร์เป็นสิ่งของสำคัญในการบูชาดวงจันทร์ หลังจากการบูชาจบลง คนทั้งบ้านก็จะแบ่งกันกิน เนื่องจากขนมไหว้พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความกลมเกลียว สะท้อนให้เห็นความหวังอันงดงามของผู้คนที่มีต่อชีวิตในอนาคตของพวกตน ดังนั้นบางที่ก็จะเรียก ขนมไหว้พระจันทร์ว่า " ขนมแห่งความกลมเกลียว "
          ตามที่เล่าขานสืบต่อกันมานั้น ขนมไหว้พระจันทร์ปรากฎขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ครั้นถึงราชวงศ์ซ่ง ( ซ้อง ) ก็ยิ่งเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น ขนมไหว้พระจันทร์นั้นไม่เพียงแต่เป็นขนมที่สืบทอดกันมาโดยถือว่าเป็นผลิตผลจากสี่ฤดูกาลเท่านั้น ในด้านการทำ รสชาติก็ยังแตกต่างกันไปในแต่ละถิ่นที่ด้วย เช่นขนมไหว้พระจันทร์แบบซูโจว ขนมไหว้พระจันทร์แบบกว่างตง ( กวางตุ้ง ) ขนมไหว้พระจันทร์แบบเป่ยจิง ( ปักกิ่ง ) ขนมไหว้พระจันทร์แบบหนิงโป ขนมไหว้พระจันทร์แบบเฉาซาน ( แต้จิ๋ว- ซัวเถา ) ขนมไหว้พระจันทร์แบบหยุนหนาน ( ยูนนาน ) แม้แต่ในท้องถิ่นเดียวกัน ก็ยังมีการทำไส้ขนมที่ต่างกัน ลวดลายขนผิวขนมก็ต่างกัน และก็เรียกชื่อต่างกันไป เช่น ไส้ผลไม้ ไส้ถั่วแดง ไส้ลูกบัว ไส้แฮม ไส้ไข่เค็ม เป็นต้น
 

อ้างอิง  http://www.cccinter.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538841490&Ntype=4

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับผิวดี

การปล่อยปละละเลยให้ผิวชำรุดทรุดโทรมจนดูร่วงโรยก่อนวัย แม้เครื่องสำอางชั้นดีแค่ไหนก็ยากที่จะเรียกความสดใสกลับคืนมาได้  นอกเสียจะช่วยไม่ให้คุณมีริ้วรอยมากไปกว่านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณส่วนใหญ่ แนะนำว่าการดูแลผิว ต้องใส่ใจกันตั้งแต่วัยสาวๆนี่แหล่ะค่ะยิ่งเริ่มเร็วเมื่อไหร่ ก็จะยิ่งยืดความเสื่อมของเซลล์ไปได้มากขึ้น ลองมาดูเทคนิค 5 ข้อ เพื่อช่วยรักษาผิวสาวให้ดูสดใสไปนานๆค่ะ
1. ทาครีมกันแดด

่ผู้รู้เขาบอกว่า 80 % ของการเสื่อมของผิวหนังเกิดจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น เนื่องจากจะทำลายเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติคทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นได้ แต่อยู่เมืองไทยจะเลี่ยงไม่ให้โดนแดดกันเลย ก็เห็นจะยาก
จึงควรทาครีมปกป้องใบหน้าและลำคอเป็นประจำทุกวัน
ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 15 ขึ้นไปส่วนการขับรถในที่แดดจ้า โดยไม่สวมแว่นกันแดด ทำให้คุณต้องหยีตากันคลอดเวลา ก็ทำให้รอยตีนกามาเยือนได้ง่าย ๆ รวมทั้งการเผลอทำหน้านิ่วคิ้วยุ่งๆอยู่บ่อยๆ ก็เป็นที่มาของริ้วรอยทั้งสิ้น

2. ท่านอนทำให้เกิดริ้วรอย


ผู้เชียวชาญด้านผิวพรรณ บอกว่า ในช่วง 6-8 ชั่วโมง ของการนอนในแต่ละวัน มีผลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบ นอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ใบหน้าด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอน

เกิดริ้วรอยมากกกว่าอีกด้าน

ยิ่งพวกที่ชอบเอามือก่ายหน้าผาก ก็ยิ่งทำให้ เกิดริ้วรอยมากขึ้น ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมานอนหงายแทนหรือเลือกใช้หมอนที่อ่อนนุ่ม และใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้าลื่นๆ อย่างผ้าซาติน จะสามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้



3. กินอาหารดีๆอาหารที่ดี มีประโยชน์ และครบหมวดหมู่ จะช่วยให้ผิวพรรณสดใสได้ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยชะลอ การเสื่อมของเซลล์ผิว และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้ว ส่วนบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นตัวการสำคัญที่บ่อนทำลายผิวหนัง ให้เสื่อมก่อนวัยอันควร
4. อดนอน ริ้วรอยมาเยือน

การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากทำให้สุขภาพทรุดโทรมแล้ว ใบหน้าก็ดูหมองคล้ำ อิดโรย และถ้าคุณอดนอนบ่อย ๆจะทำให้ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัย



5. รู้จักผ่อนคลาย

ความเครียดที่ไม่มีโอกาสผ่อนคลาย เปิดโอกาสให้สิวจู่โจมได้ง่ายๆถ้าไม่อยากให้เกิดสิว ซึ่งพลอยทำให้ใบหน้าไม่สดใส ควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด การทำจิตใจให้สงบโดยการทำสมาธิ การฟังเพลงสบายๆ ชื่นชมกับธรรมชาติรอบตัว ให้เวลากับสุนัข
ของคุณ ก็ช่วยคลายเครียดได้





อ้างอิง  http://variety.teenee.com/foodforbrain/3358.html